วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

มารยาทในการฟัง การดูและการพูด

มารยาทในการฟัง การดู และการฟัง ควรปฏิบัติ ดังนี้
 .) ฟังอย่างตั้งใจ ตามองผู้พูด ไม่คุยหรือเล่นในขณะที่ฟัง
.) ไม่แสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสม เช่น กระทืบเท้า เป่าปากโห่ และไม่ทำความรำคาญให้กับผู้อื่น
.) ปรบมือเพื่อเป็นการให้เกียรติผู้พูด ก่อนที่ผุ้พูดจะพูด และหลังจากที่ผู้พูดพูดจบเเล้ว
 .) เตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่จะพูด โดยการหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่จะพูด โดยการหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่จะพูด
 
๕). ใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวล ไม่กระโชกโฮกฮาก และใช้ถ้อยคำที่สุภาพ เหมาะสม
  ๖. )พูดเสียงดังฟังชัด และมองผู้ฟังอย่างทั่วถึง
 ๗. )กล่าวคำขอโทษเมื่อพูดผิด และกล่าวคำขอบคุณเมื่อได้รับการยกย่อง ชมเชย
 ๘). ดูด้วยความตั้งใจ ไม่คุยเล่นในขณะที่ดู
 ๙.) ไม่ส่งเสียงดัง หรือทำความรำคาญให้กับผู้อื่น
 ๑0). เมื่อต้องเดินผ่านผู้อื่นที่กำลังดู ให้เดินอย่างสำรวม และระมัดระวังมิให้กระทบผู้อื่น
ด.ญ.ปนัดดา  วรต่าย  เลขที่  ๔

วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555

ระบบปฏิบัติการหรือโอเอส (os: operating system)

ระบบปฏิบัติการ

ระบบปฏิบัติการ หรือที่เรียกย่อ ๆ ว่า โอเอส (Operating System : OS) เป็นซอฟต์แวร์ใช้ในการดูแลระบบคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะต้องมีซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการนี้ ระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้กันมากและเป็นที่รู้จักกันดีเช่นดอส (Disk Operating System : DOS) วินโดวส์ (Windows) โอเอสทู (OS/2) ยูนิกซ์ (UNIX)
1) ดอส เป็นซอฟต์แวร์จัดระบบงานที่พัฒนามานานแล้ว การใช้งานจึงใช้คำสั่งเป็นตัวอักษร ดอสเป็นซอฟต์แวร์ที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้ใช้ไมโครคอมพิวเตอร์
2) วินโดวส์ เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาต่อจากดอส เพื่อเน้นการใช้งานที่ง่ายขึ้น สามารถทำงานหลายงานพร้อมกันได้ โดยงานแต่ละงานจะอยู่ในกรอบช่องหน้าต่างที่แสดงผลบนจอภาพ การใช้งานเน้นรูปแบบกราฟิก ผู้ใช้งานสามารถใช้เมาส์เลื่อนตัวชี้ตำแหน่งเพื่อเลือกตำแหน่งที่ปรากฏบนจอภาพ ทำให้ใช้งานคอมพิวเตอร์ได้ง่าย วินโดวส์จึงได้รับความนิยมในปัจจุบัน
3) ลีนุกซ์  เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนามาจากระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ได้รับความนิยมเพราะมีซอฟต์แวร์ประยุกต์ต่างๆ
4) ยูนิกซ์ เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนามาตั้งแต่ครั้งใช้กับเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ ระบบปฎิบัติการยูนิกซ์เป็นระบบปฏิบัติการที่สามารถใช้งานได้หลายงานพร้อมกัน และทำงานได้หลาย ๆ งานในเวลาเดียวกัน ยูนิกซ์จึงใช้ได้กับเครื่องที่เชื่อมโยงและต่อกับเครื่อปลายทางได้หลายเครื่องพร้อมกัน
5) แมคอินทอช   เป็นระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้ในงานเกี่ยวกับสิ่งพิมพ์  เช่น  หนังสือ  นิตยสาร แผ่นพับ  ใบปลิว  เป็นต้น        
ระบบปฏิบัติการยังมีอีกมาก โดยเฉพาะระบบปฏิบัติการที่ใช้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานร่วมกันเป็นระบบ เช่น ระบบปฏิบัติการเน็ตแวร์ วินโดว์สเอ็นที
                    สมาชิกในกลุ่ม
1)  ด.ญ.ปนัดดา   วรต่าย
2)  ด.ช.จิรณินทร์  กันทำ
3)  ด.ญ.ปฐมาพร   ไชยสง 

วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

โคลงสุภาษิตโสฬสไตรยางค์

                         สามสิ่งควรปรารถนา
ความสุขสบาย มิตรสหายที่ดีดี ใจสบายปรุโปร่ง
         สุขกายวายโรคร้อน            รำคาญ
มากเพื่อนผู้วานการ                     ชีพได้
จิตแผ้งผ่องสำราญ                      รมย์สุข เกษมแฮ
สามสิ่งควรจักให้                          รีบร้อนปรารถนา
                         ถอดคำประพันธ์
สามสิ่งที่ควรหามาใส่ตน คือ ความสุขสบายปราศจากโรคภัยมาเบียดเบียน มีมิตรสหายที่ดีตายแทนเราได้ และจิตใจผ่องใส
  ด.ญ.ปนัดดา  วรต่าย  เลขที่  ๔

วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554

ให้นักเรียนถอดร้อยแก้วในบทประพันธ์ที่ครูให้อ่าน เอาเฉพาะบทประพันธ์ที่ครูกำหนดให้ของแต่ละคน เรื่องรามเกียรติ์

เหลือบเห็นสตรีวิไลลักษณ์
พิศพักตร์ผ่องเพียงแขไข
งามโอษฐ์งามแก้มงามจุไร
งามนัยน์เนตรงามกร
งามถันงามกรรณงามขนง
งามองค์ยิ่งเทพอัปสร
งามจริตกิริยางามงอน
งามเอวงามอ่อนทั้งกายา
ถึงโฉมองค์อัครลักษมี
พระสุรัสวดีเสน่หา
สิ้นทั้งไตรภพจบโลกา
จะเอามาเปรียบไม่เทียบทัน
ดูไหนก็เพลินจำเริญรัก
ในองค์เยาวลักษณ์สาวสวรรค
ยิ่งพิศยิ่งคิดผูกพัน
ก็เดินกระชั้นเข้าไป ฯ

ถอดคำประพันธ์

                หันไปเห็นหญิงที่มีโฉมงดงามใบหน้าก็ผุดผ่องดั่งดวงจันทร์ ปากงามแก้มงามไรผมงามดวงตางามมือ  งามเต้านมงามหูงามคิ้วงาม งามเสียยิ่งกว่านางฟ้ากิริยาท่าทางก็งาม ทรวดทรงก็ดูงาม แม้นลักษณ์มีที่เป็นมเหสีของพระนารายณ์หรือชายาของพระพรหมที่เป็นมเหสีของพระพรหม หรือนางงามใดๆทั้งสามโลกก็มิอาจเทียบได้ยิ่งดูก็ยิ่งรักมากขึ้นไปอีกจากรูปโฉมที่งดงาม ยิ่งมองก็ยิ่งคิดอยากเข้าไปผูกพันจึงเดินเข้าไปใกล้ๆตัวนาง.
ด.ญ.ปนัดดา     วรต่าย  เลขที่  ๔



วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ให้นักเรียนยกตัวอย่างปฎิกิริยาในชีวิตประจำวัน


ตัวอย่างปฎิกิริยาที่พบในชีวิตประจำวัน
1.1       โซดาไฟ
         โซดาไฟสามารถนำมาทำความสะอาดพื้น เช่น  พื้นห้องน้ำ ซึ้งจะเกิดปฏิกิริยาดังสมการ
โซเดียม    + น้ำ     -------------->     โซเดียมไฮดรอกไซด์ (โซดาไฟ)

1.2       โซดาซักผ้า
        สามารถนำมาใช้ในการซักผ้า ซึ่งเรียกว่า  โซดาซักผ้า ที่เกิดปฏิกิริยาดังสมการ
โซเดียมคลอไรด์   +   หินปูน -------------->      โซเดียมคาร์บอเนต (โซดาซักผ้า)

1.3       สารที่ใช้ถลุงโลหะ (แคลเซียมออกไซด์)
        สารที่ใช้ถลุงดลหะส่วนใหญ่นิยมใช้ในการอุตสาหกรรมถลุงแร่ ซึ่งเกิดปฏิกิริยา ดังสมการ
หินปูน  --------------------->   แคลเซียมออกไซด์
1.4       การเผาแก้ว
        มนุษย์นำแก้วมาผลิตเป็นเครื่องใช้ต่าง ๆ เช่น  แก้ว  จาน  และขวดต่าง ๆ เป็นต้น  เกิดปฏิกิริยาดังสมการ
ทราย    +  แคลเซียมออกไซด์  +   โซเดียมคาร์บอเนต   -------------------->   แก้ว
1.5       สบู่
         ในปัจจุบันมนุษย์นำสบู่มาใช้ทำความสะอาดร่างกาย  เพื่อล้างเหงื่อไคลและฆ่าเชื้อโรค เกิดปฏิกิริยาดังสมการ
ไขมัน   +  โซเดียมไฮดรอกไซด์   ----------------->  สบู่
1.6       พลาสติก
        พลาสติก  เป็นสารสังเคราะห์ที่นำมาใช้ทำวัสดุเพื่อทดแทนวัสดุสิ้นเปลือง   ต่าง ๆ  ซึ่งแพร่หลายมากที่สุดโดยนำพลาสติกมาใช้ในการก่อสร้างบ้านเรือนและเครื่องใช้ต่าง ๆ  โดยมีการเกิดปฏิกิริยาเคมี  ดังนี้
            1)    ถ่านหิน    +          แก๊สธรรมชาติ   --------------->    สไตรีน
                        เราสามารถนำสไตรีนมาประยุกต์ใช้ทำโฟม  อุปกรณ์ไฟฟ้า เลนส์ จาน  ชาม
            2)  เกลือแกง   +  แก๊สธรรมชาติ   ---------------->  ไวนิลคลอไรด์
                        ไวนิลคลอไรด์ สามารถนำมาใช้ทำสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ  ได้แก่ กระเป๋า เสื้อกันฝน  รองเท้า สายยาง และฉนวนหุ้มสายไฟฟ้า เป็นต้น
            3)  ถ่านโค้ก    +  หินปูน  ----------------->  ไวนิลอะซีเตต
                        ไวนิลอะซีเตต  สามารถนำมาใช้ทำกาว และทำสี
1.7       เรยอง
        เรยอง   เป็นเส้นใยที่สังเคราะห์ขึ้น นิยมใช้ในอุตสาหกรรม เกิดจากปฏิกิรยา ดังสมการ
            เยื่อไม้    +  โซเดียมไฮดรอกไซด์  --------------->   เรยอง
1.8       อุตสาหกรรมปุ๋ย
ปุ๋ยที่สังเคราะห์ขึ้น  เช่น ปุ๋ยไนโตรเจน  เกิดปฏิกิริยา  ดังสมการ
แอมโมเนีย  +  กรดซัลฟิวริก  ------------>  แอมโมเนียมซัลเฟต
แอมโมเนีย   +  คาร์บอนไดออกไซด์  ----------------->  ยูเรีย

 ด.ญ.ปนัดดา   วรต่าย  เลขที่  ๔  ชั้น  ม.๒/ ๑

ให้นักเรียนอธิบายเกี่ยวกับปฎิกิริยาในชีวิตประจำวันพร้อมทั้งให้ระบุสารตั้งต้นสารผลิตภัณฑ์


สารที่พบในชีวิตประจำวัน
สารต่าง ๆ  ในโลก  รวมทั้งสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ล้วนแต่เป็นผลผลิตที่เกิดจากการทำปฏิกิริยาเคมีของสารที่มีอยู่บนพื้นโลกเกือบทั้งสิ้น  เมื่อเราทราบวิธีการเกิดปฏิกิริยาเคมีแล้ว  เราก็สามารถนำความรู้มาใช้ในการสร้างผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ  และป้องกันการเกิดปฏิกิริยาเคมีที่ไม่ต้องการกับสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน เพื่อรักษาสภาพของสิ่งนั้นให้สามารถใช้งานได้นานขึ้น
ผลผลิตจากปฏิกิริยาเคมี
จากการเกิดปฏิกิริยาเคมีต่าง ๆ สามารถนำผลที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ ดังนี้
1.)       โซดาไฟ
         โซดาไฟสามารถนำมาทำความสะอาดพื้น เช่น  พื้นห้องน้ำ ซึ้งจะเกิดปฏิกิริยาดังสมการ
โซเดียม    + น้ำ     -------------->     โซเดียมไฮดรอกไซด์ (โซดาไฟ)
สารตั้งต้น คือ โซเดียมกับน้ำ   สารผลิตภัณฑ์  คือ  โซเดียมไฮดรอกไซด์  (โซดาไฟ)
 2.)       โซดาซักผ้า
        สามารถนำมาใช้ในการซักผ้า ซึ่งเรียกว่า  โซดาซักผ้า ที่เกิดปฏิกิริยาดังสมการ
โซเดียมคลอไรด์   +   หินปูน -------------->      โซเดียมคาร์บอเนต (โซดาซักผ้า)
สารตั้งต้น คือ    โซเดียมคลอไรด์กับหินปูน  สารผลิตภัณฑ์ คือ  โซเดียมคาร์บอเนต  (โซดาซักผ้า)
        มนุษย์นำแก้วมาผลิตเป็นเครื่องใช้ต่าง ๆ เช่น  แก้ว  จาน  และขวดต่าง ๆ เป็นต้น  เกิดปฏิกิริยาดังสมการ
ทราย    +  แคลเซียมออกไซด์  +   โซเดียมคาร์บอเนต   -------------------->   แก้ว
3.)    สบู่
         ในปัจจุบันมนุษย์นำสบู่มาใช้ทำความสะอาดร่างกาย  เพื่อล้างเหงื่อไคลและฆ่าเชื้อโรค เกิดปฏิกิริยาดังสมการ
ไขมัน   +  โซเดียมไฮดรอกไซด์   ----------------->  สบู่
สารตั้งต้น คือ    ไขมัน กับโซเดียมดรอกไซด์  สารผลิตภัณฑ์  คือ  สบู่

วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554

นักเรียนมีวิธีปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการและไม่ทำให้คนอื่นเดือนร้อน

ลูกไม่ได้อย่างใจ" เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับทุกๆ บ้าน ที่คาดหวังและวางกฎเกณฑ์ไว้ให้กับลูกมากเกินไป และมักจะมีคำถามจากบรรดาคุณพ่อคุณแม่หลายคนที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า "ทำไม" เช่น ทำไมลูกถึงเป็นแบบนี้ ทำไมลูกไม่เป็นแบบนั้น ทำไมลูกไม่ทำตามที่แม่สั่ง..... จนบางครั้งคนที่มานั่งตอบคำถามเหล่านั้นก็คือตัวของพ่อแม่เองว่า ทำไมเราต้องอยากให้ลูกเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ในความเป็นจริงแล้ว การเลี้ยงลูกให้ได้อย่างใจไม่ใช่เรื่องยากเลย หากคุณพ่อคุณแม่ปล่อยวางและให้อิสระกับลูก อย่าคาดหวังกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เพราะนั่นอาจหมายความว่ายังไม่ถึงเวลาที่ลูกจะมีพัฒนาการในส่วนนั้นๆ ก็เป็นได้

"พญ. วิมลรัตน์ วันเพ็ญ" รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ ให้ความรู้กับเรื่องนี้ว่า ความเป็นจริงแล้ว ความหมายของคำว่า ลูกไม่ได้อย่างใจของคุณพ่อคุณแม่ หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น ลูกไม่กิน ไม่นอน ซน บอกให้ทำอะไรก็ไม่ทำ เพียงแต่สิ่งที่พ่อแม่ควรเข้าใจคือ เด็กในแต่ละวัยมีพัฒนาการและการเจริญเติบโตที่แตกต่างกัน ถ้าเป็นเด็กตั้งแต่แรกเกิด-6 ปี จะทำอะไรก็ได้อย่างใจ เพราะว่าเด็กยังไม่ค่อยมีปฏิกิริยาโต้ตอบมากนัก แต่พอเริ่มหัดเดิน พ่อแม่จะเริ่มหงุดหงิด เพราะลูกจะเดินไปเดินมาบอกให้หยุดก็ไม่เชื่อฟัง อยากทำอะไรก็ทำทันที บางครั้งก็รื้อข้าวของในบ้านจนกระจัดกระจาย

ดังนั้นพ่อแม่ต้องเข้าใจว่า เด็กแต่ละวัยมีพัฒนาการที่แตกต่างกัน เด็ก 2-3 ปี มีความต้องการทำอะไรด้วยตัวเอง หากพ่อแม่ไปสะกัดกั้นทุกอย่างที่เขาอยากทำ มันก็กลายเป็นการขัดขวางจินตนาการของเด็ก ส่งผลให้ลูกเป็นคนขี้อาย กลัวไปทุกอย่าง เพราะตอนเด็กจะทำอะไรพ่อแม่ก็ห้ามตลอด จึงทำให้ตอนโตเขาเป็นคนไม่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ทำงานตามคำสั่งเนื่องจากเคยชินกับการเลี้ยงดูที่อยู่ในกรอบของคำสั่ง แตกต่างกับพ่อแม่ที่ให้ลูกได้ทดลองเล่นสิ่งต่างๆ โดยอยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัย เช่น อยากตักข้าวกินเอง ก็ปล่อยให้เขาตัก เป็นการฝึกกล้ามเนื้อมือไปด้วย อีกอย่างเขาจะได้รู้ว่าพ่อแม่ได้ให้โอกาสกับเขาในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ตั้งแต่เด็ก เขาจะได้สนุกกับตรงนั้นมากกว่าการทำโดยถูกบังคับหรืออกคำสั่ง

แต่พอเข้าสู่ช่วงวัยเรียน พ่อแม่หลายคนจะคิดว่าพอเข้าสู่วัยเรียนแล้ว การเรียนของลูกก็ต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง โดยไม่สนใจให้ลูกทำกิจกรรมเลย บังคับให้ลูกเรียนอย่างเดียว เพราะคิดว่าการทำกิจกรรมเป็นเรื่องที่ไร้สาระ จนทำให้ลูกขาดทักษะการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็น การแก้ไขปัญหา และการคบเพื่อนซึ่งเป็นเรื่องหนักใจของพ่อแม่ที่มีลูกอยู่ในช่วงของวัยรุ่น โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง

"พ่อแม่บางคนเห็นว่า การคบเพื่อนจะต้องเลือกคบเพื่อนดีๆ เพื่อนที่ตั้งใจเรียน แต่โดยธรรมชาติของเด็กบางครั้งก็มีการออกนอกลู่นอกทางบ้าง ดังนั้นพ่อแม่ต้องกำหนดกรอบใหญ่ๆ ให้กับลูกแต่ไม่ใช่กฎเกณฑ์อย่างชัดเจน เพราะเด็กก็จะพยายามหาทางหลบหลีกจนได้ พ่อแม่ควรมีวิธีที่พูดคุยกับลูกโดยการบอกว่า ถ้าลูกเป็นผู้หญิงจะไปไหนกับเพื่อนผู้ชายสองต่อสองไม่ได้เด็ดขาด อย่างน้อยต้องมีเพื่อนผู้หญิงไปด้วย หรือสถานที่ไหนไม่ควรไปหรือไปได้แต่ต้องไปกับผู้ใหญ่ มีการกำหนดกรอบของความเหมาะสมเอาไว้ ถ้าลูกหลุดออกไปนอกกรอบก็ควรมีการลงโทษ ในความหมายนี้ไม่ใช่การตี แต่เป็นเงื่อนไขที่สามารถต่อรองกันได้ เช่น เมื่อลูกไปเที่ยวกลับมาไม่ตรงเวลา ครั้งต่อไปอาจจะไม่ได้ไปเที่ยวอีก และในพื้นฐานของกรอบจะต้องมีความยุติธรรม ถ้าเป็นข้อกำหนดที่แม่ตั้งขึ้นและลูกก็ปฏิบัติตามแล้ว แต่ไม่ได้ผลตามคาดหวังเอาไว้ แม่ก็ไม่ควรต่อว่าลูกว่าทำไมถึงทำไม่ได้" รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ฯ อธิบายทักษะการวางกรอบให้กับลูก



นอกจากนั้น บางครั้งระเบียบกฎเกณฑ์ที่จะใช้กับลูกอาจทดลองใช้กับคุณพ่อก่อนก็ได้ว่า จะมีผลตอบกลับมาในทิศทางไหน ถึงแม้มันจะเป็นคนละวัยก็ตามจะได้เตรียมรับมือ หรือตอบคำถามที่ลูกจะถามย้อนกลับมา อีกประการหนึ่ง พ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกด้วย ถ้าพ่อแม่เป็นคนใจร้อน ขี้หงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย แต่ต้องการให้ลูกเป็นคนมีเหตุผล มันก็คงจะไม่ยุติธรรมสำหรับลูกมากนัก บางเรื่องเด็กก็เข้าใจ เพียงแต่เขาไม่สามารถทำได้

อย่างไรก็ดี คุณหมอแนะนำว่า ทุกครั้งที่จะสอนลูกอย่าใช้คำด่า อย่าเหยียดหยาม อย่าประนาม อย่าเปรียบเทียบ แต่ให้พูดอย่างตรงไปตรงมาว่าลูกมีความต้องการอะไร ยกตัวอย่างเรื่องความปลอดภัยของลูกและอยากให้ลูกกลับบ้านตรงเวลา แม่ต้องอธิบายเหตุผลว่า สังคมมันมีอันตรายอยู่มากมาย แม่เป็นห่วงลูก อยากให้ลูกกลับบ้านเร็ว ๆ การพูดเพียงเท่านี้ เด็กก็จะสามารถเข้าใจได้เอง ตรงข้ามถ้าพูดในเชิงของการดุด่า เช่น โตแล้วไม่รู้จักคิด กลับดึกๆ ดื่นๆ พ่อแม่เป็นห่วงรู้ไหม คำพูดนี้จะทำร้ายความรู้สึกของลูก ฉะนั้นพ่อแม่ต้องพยายามพูดในเชิงบวกและต้องรู้จักบอกความต้องการของพ่อแม่ไปตรงๆ

"ถึงตอนนี้ การเลี้ยงเด็กที่เลี้ยงง่ายก็ยังต้องอาศัยความอดทนของพ่อแม่อยู่ และพ่อแม่ที่มีลูกเป็นเด็กเลี้ยงยากก็ยิ่งต้องเพิ่มความอดทนให้เข้มข้นขึ้น อย่าใช้อารมณ์กับลูก เพราะความใจร้อนมันจะยิ่งไปเพิ่มดีกรีความเป็นเด็กเลี้ยงยากขึ้นอีก แต่ถ้าพ่อแม่ใจเย็นกับเด็กที่ขี้หงุดหงิด เด็กจะซึมซับเอาความใจเย็นของพ่อแม่ไปอย่างไม่รู้ตัว เช่นเดียวกับเด็กที่ขี้อาย พ่อแม่ก็ต้องอดทนกับความขี้อาย ความไม่กล้าของลูก และพยายามผลักดันให้ลูกมีความกล้า อย่าพูดว่า เมื่อไรจะทำได้สักที ควรช่วยประคับประคองเขาก่อน อย่างการไปซื้อของฝึกให้เขามีความกล้า จูงมือลูกไปแต่ให้เขาไปซื้อเอง โดยที่พ่อแม่ยืนดูอยู่ห่าง พอลูกทำได้ก็ควรชื่นชมในความสามารถของลูกด้วย และอย่ารำคาญกับคำถามของลูก ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะตอบไม่ได้ก็ชวนลูกมาหาคำตอบด้วยกัน เพราะเมื่อใดที่เราเปิดโอกาสให้กับเขา เราจะเห็นว่าลูกก็เป็นอย่างใจเราต้องการได้" พญ.วิมลรัตน์ ฝากทิ้งท้าย